SMEsAcademy-FB
รับส่วนลด 300 บาทสำหรับการซื้อครั้งแรก

เรื่องเล่า บริษัทโฟมในไทย กับนักธุรกิจจากแผ่นดินใหญ่

13 กรกฎาคม 2564
เรื่องเล่า บริษัทโฟมในไทย กับนักธุรกิจจากแผ่นดินใหญ่

เรื่องเล่า บริษัทโฟมในไทย กับนักธุรกิจจากแผ่นดินใหญ่

“เราบอกทุกคนว่าเรามาช่วยนะ เรายังเป็นน้องปิ่นคนเดิมนะ

พี่ๆมีอะไรให้ช่วยบอกได้เลย เราไม่ได้เปลี่ยนไปนะ” แล้วก็ยิ้มหวานตามสไตล์

ปิ่นอณงค์ โกสิทธานนท์ ทายาทรุ่นที่ 2

บริษัท ไทย อินซูโฟม อุตสาหกรรม จำกัด


ภายในอาคารโรงงานใหญ่โตมโหฬารที่มีแท่งโฟมสี่เหลี่ยมสูง 6 เมตร ยืนตระหง่านอยู่นับร้อย คล้ายจะเป็นป่าโฟมสีขาวที่พาเราเข้าไปสู่โลกเขาวงกตอีกใบ มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเปรียบประดุจดวงใจของป่า เป็นเสมือนแหล่งพลังงานแกนกลางของเหล่าแท่งโฟมที่ต่างหันมาโค้งหัวให้เราอยู่ตอนนี้ ปิ่นอณงค์ สาวสวยวัย 29 ปี ยิ้มเจิดจรัสต้อนรับเราเข้าสู่ใจกลางบริษัท อินซูโฟม จำกัด ด้วยเรื่องราวน่ารักที่แสนอบอุ่น ที่น้อยครอบครัวนักจะพบเจอ...

“คุณพ่อคุณแม่เรามาจากมาเลย์ เป็นคนจีนที่ไปอยู่มาเลเซีย เหมือนกับคนจีนที่มาอยู่ในไทยแหละ แล้วก็ย้ายมาอยู่ในไทยอีกทีหนึ่ง ที่จริงเราเป็นคนไทยรุ่นแรกนะ” ยิ้มหวาน แก้มกลม ตาเป็นสระอิ บอกสัญชาติชัดเจน

 

“ที่นี่เริ่มมายังไงหรอ”

“คุณลุงกับเพื่อนเป็นคนเริ่ม ตอนแรกมีโรงงานแบบนี้อยู่ที่มาเลเซีย แล้วพอจะมาเปิดที่นี่ ก็เลยให้คุณพ่อมาดูแล กับหุ้นส่วนอีกคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้คุณพ่อก็อายุ 66 กว่าแล้ว คนอื่นๆก็ไม่มีทายาทมารับช่วง เราก็เลยเข้ามาดูแลต่อจากคุณพ่อ”

 

“โดนบังคับ?”

“ป่าวอ่ะ คือเราเป็นลูกคนเดียว แล้วก็โตมากับที่นี่ เราก็เลยเหมือนรู้ตั้งแต่เล็กๆแล้วว่า เออ โตมาเราก็ต้องอยู่นี่แหละ ต้องทำอันนี้ต่อ ไม่ได้ถูกบังคับนะ”

 

“เรียนอะไรมา? เรียนมาตรงสายมั้ย?”

“ถามว่าตรงมั้ย ก็ได้ใช้นะ เราเรียนเตรียมอุดมฯ สายวิทย์ แล้วตอนนั้นม.6 เค้าให้ย้ายสายได้ ก็เลยย้ายมาจบสายศิลป์ แล้วก็ไปต่อที่ออสเตรเลีย เรียนบัญชี ที่จริงพ่อกับแม่ก็อยากให้ไปเรียนนอกตั้งแต่ ม.ปลายแล้ว แต่ว่าเราไม่ไป ฮ่าๆ ก็ติดเตรียมฯ ลองคิดดูดิ เข้ายากขนาดไหน สอบติดแล้วก็เรียนสิ ทีนี้พอเรียนวิทย์ไปแล้วไม่ชอบ ก็เลยย้ายสาย แล้วตอนนั้นก็เลือกเรียนบัญชี เพราะว่าคิดว่าอันอื่นหาหนังสืออ่านเองได้ แต่บัญชีถ้าไม่เรียนก็จะไม่รู้ ก็เลยเลือกอันนี้ กลับมาก็ได้ใช้เต็มๆเลยล่ะ”

 

“เรียนจบแล้วกลับมาทำที่บ้านเลยมั้ย”

“ไม่ๆ พอเรียนจบก็ไปทำงานบัญชีก่อน กับพวกบริษัทในเมือง ประมาณเกือบ 2 ปี แล้วพอเริ่มเรียนปริญญาโท ที่ทำงานไม่ให้ลาเรียน เราก็เลยลาออก มาทำงานกับที่บ้าน เพื่อจะได้ยืดหยุ่นกับการเรียนด้วย”

 

“ก็ทำงานมาหลายปีแล้วสิ 6-7 ปีได้นะ ตอนแรกเข้ามาทำอะไรก่อน”

 

“จริงๆ ช่วงปิดเทอมระหว่างที่เรียน ก็มีเข้ามาฝึกงานในแผนกบัญชีแล้ว พอเริ่มเข้ามาทำจริงๆ ตอนแรกเข้ามาก็ทำทุกแผนกเลย ตั้งแต่เริ่มกระบวนการผลิต เวียนๆไปแผนกละ 2-3 สัปดาห์ จนเริ่มเข้าใจ จากนั้นก็ไปรับหน้าที่อยู่ฝ่ายขายเต็มตัวอยู่ปีสองปี ต้องไปคุยผู้รับเหมา ปีนไซต์งานก่อสร้าง ขึ้นตึกไปดูงานอะไรแบบนั้น  หลังจากนั้นก็ย้ายมาทำส่วนงานแอดมิน งานหลังบ้าน ดูระบบการทำงาน พยายามปรับปรุง หาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ดูแลสวัสดิการพนักงานอะไรพวกนั้น”

 

“คุณพ่อคุณแม่ยังทำงานอยู่ไหม”

“ทำๆ แต่ว่าย้ายตำแหน่งตัวเองขึ้นไปดูพวก innovation ดูภาพรวมและโอกาสในอนาคตละ พวกงาน routine เราเป็นคนดูแลแทนแล้ว”

 

“เคยทะเลาะกันมั้ย”

“เคย นิดหน่อย แต่ด้วยความที่คุณพ่อจะเป็นคนหัวก้าวหน้ามาก ชอบลองชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ จนบางทีก็เร็วเกินไปนะ ฮ่าๆ อย่างเราไปเรียนป.โท กลับมาพ่อก็จะถามวันนี้เรียนอะไรมาบ้าง แล้ววันรุ่งขึ้น โน่นพ่อเอาไปลองใช้ละ ฮ่าๆ ที่ทะเลาะกันนี่ก็จะเป็นแนวว่า พ่อจะพุ่งไปข้างหน้าต่อละ แต่เราบอกว่าเดี๋ยวก่อนๆป๊า คนอื่นตามไม่ทัน รอด้วยๆ ต้องคอยบอกให้ใจเย็นๆ”

 

“แล้วเรื่องพนักงานเก่าของคุณพ่อ ตอนเรามาทำงานเค้ายอมรับปิ่นเลยหรอ”

 

“อืม ก็ไม่มีใครมีปัญหาอะไรนะ เราเข้ามาก็ต้องวางตัวให้ถูก วางตัวให้เป็น เราต้องปรับ mind set เราก่อน ว่าเราไม่ใช่ลูกเจ้านายนะ เราไม่ได้เข้ามาเหนือคนอื่น อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น มาใหม่ จบใหม่ เริ่มทำงานใหม่ต้องเริ่มจากศูนย์ ไม่รู้อะไรก็คอยถามคอยสังเกตุ พี่ๆเค้าก็จะสอนเอง ส่วนอะไรที่เราเรียนมาแล้วช่วยเค้าได้ ก็พยายามช่วยเค้า ให้เค้าทำงานง่ายขึ้น

 

เราจะบอกกับเค้าตลอดเลย ว่าเรายังเป็นน้องปิ่นคนเดิมนะ จะมาช่วยให้พี่ๆทำงานง่ายขึ้น มีปัญหาอะไรติดขัดตรงไหนบอกเรานะ ทุกคนเค้าก็โอเคแล้วก็ยอมรับเรา เพราะเราเรียนมามากกว่า ความรู้เรามากกว่า เค้าไว้ใจเราได้”

 

“ชีวิตส่วนตัวเป็นไงบ้าง มี passion อย่างอื่นมั้ยนอกจากการทำโรงงาน”

“ก็อยู่บ้านกับพ่อแม่นะ แต่มีเรื่องนึงที่คุยกันไว้ก่อนแล้ว คือพ่อกับแม่เนียะ เวลาคิดอะไรได้ก็จะรีบพูดเลย จนเวลาเราอยู่ด้วยกันเนียะ ตื่นเช้ามาเจอกันใช่มะ ก้อประชุมบนโต๊ะกินข้าว ไปทำงานในโรงงานด้วยกัน กลับมาบ้านคิดอะไรออกก่อนนอนยังมาเคาะห้องบอก ก็เหมือนทำงาน 24 ชั่วโมงเลย เราก็บอกว่าเออ ตรงนี้เราไม่ไหวนะ คือเราก็ทำงานได้ ไม่ได้อึดอัดอะไร แต่ว่าก็ไม่ใช่ passion ของเรา ที่จะสามารถอยู่กับมันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขอให้ work-life balance แบบพอดีๆ เรื่องงานคุยตอนทำงาน กลับบ้านเราจะคุยเรื่องอื่นกันนะ”

 

“แล้วพ่อโอเคหรอ เข้าใจว่าคนจีนรุ่นก่อนที่เป็นเจ้าของกิจการนี่คือ จะคิดงาน 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว ยิ่งทำงาน 30-40 ปีด้วย เป็นนิสัยเลย เห็นอะไรมองโอกาสเป็นงานไปหมด”

 

“ใช่ๆ เราก็เลยสอนพ่อใช้อีเมล ฮ่าๆ คิดไรได้ ไม่เป็นไรนะ พ่อเมลมาเลย จะสั่งงานอะไรเมลมา ตอนไหนก็ได้ แล้วเดี๋ยวเวลาทำงานหนูจะไปเคลียร์เอง ฮ่าๆ”

 

“เออ ไอเดียดีอ่ะ แล้วหลังจากนั้นเป็นไง?”

“ชีวิตแฮปปี้ขึ้นเยอะ งานเป็นงาน ครอบครัวเป็นครอบครัว เลิกงานแล้วก็มีเวลาไปร้องเพลง ไปทำงานศิลป์ในแบบที่ชอบได้ โชคดีที่พ่อกับแม่เป็นคน Open เปิดกว้างตรงนี้ ยอมเปลี่ยนยอมปรับไปด้วยกัน”

 

“คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการเข้ามารับช่วงต่อกิจการครอบครัว?”

“สิ่งที่ยากคือ เรายังไม่พร้อม เหมือนเรายังไม่มั่นใจว่าเรามีความสามารถพอที่จะสานต่อโรงงานนี้ได้โดยที่พ่อแม่ไม่ช่วย นี่ทุกวันนี้พ่อแม่ก้อบอกจะเกษียณแล้วนะๆ เราต้องรีบบอกว่า อย่าเพิ่งๆๆๆๆๆ”

              

“ฮ่าๆ เป็นไม่กี่คนที่บอกเราว่าไม่อยากให้พ่อแม่เกษียณนะเนียะ แล้วอย่างนี้มองอนาคตไว้ว่ายังไงอ่ะ”

 

“ก็ทำต่อแหละ แม้ว่าถ้าแต่งงานแล้ว แฟนไม่ได้เข้ามาช่วยก็ไม่เป็นไร เราก็ดูแลที่นี่ด้วยต่อเองต่อไปได้”

 

“นี่คือไม่พร้อมนะเนียะ เราว่าปิ่นพร้อมแล้วแหละ ฮ่าๆ แล้วคิดว่าทำคนเดียวจะไหวรึ”

“ไหวสิ เราไม่ได้ทำมันคนเดียวหนิ เรามีทีมงานที่พร้อมจะร่วมด้วยช่วยกันพัฒนาโรงงานนี้ต่อไป เราแค่เป็นแกนหลัก เป็นกำลังใจเท่านั้น ทีมงานทุกคนเก่งอยู่แล้ว เราทำได้แน่”

 

ด้วยแววตามุ่งมั่นแบบนั้น ความอ่อนน้อมถ่อมตนแบบนี้ เราคิดว่าที่นี่ เป็นโรงงานที่มีอนาคตไกลทีเดียว...


บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ “ฉันนี่แหละลูกเถ้าแก่”

ข้อคิดและบทสรุปจากการสัมภาษณ์ทายาทธุรกิจ โดย พราวพร


บทความที่คล้ายกัน